ช่วงต้นพระชนม์ชีพ ของ จักรพรรดิเปดรูที่ 2 แห่งบราซิล

ประสูติ

เจ้าชายเปดรูขณะทรงมีพระชนมายุ 10 เดือน ปีค.ศ. 1826

เจ้าชายเปดรูประสูติเวลา 02.30 น. ของวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 1825 ในพระราชวังเซา คริสโตเบา รีโอเดจาเนโร จักรวรรดิบราซิล[2] ทรงได้รับการตั้งพระนามตามนักบุญเปดรูแห่งอัลคันทารา[3][4] พระนามเต็มของพระองค์คือ เปดรู เดอ อัลคันทารา โจเอา คาร์ลอส ลีโอโพลโด ซัลวาดอร์ บีเบียโน ฟรานซิสโก ซาเวียร์ เดอ เปาลา ลีโอคาดีโอ มิเกล กาเบรียล ราฟาเอล กอนซากา[5] ทางพระราชบิดาของพระองค์คือ จักรพรรดิเปดรูที่ 1 แห่งบราซิล พระองค์ทรงเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ ราชวงศ์บราแกนซาสายบราซิล(ภาษาโปรตุเกส: Bragança) และทรงได้รับการถวายพระเกียรติเป็น "ดอม"(Dom; ลอร์ด)เมื่อแรกประสูติ[6] เจ้าชายเปดรูทรงเป็นพระราชนัดดาในพระเจ้าโจเอาที่ 6 แห่งโปรตุเกส ผู้เป็นพระอัยกาและทรงเป็นพระราชนัดดาในพระเจ้ามิเกลแห่งโปรตุเกส ผู้เป็นพระปิตุลา[7][8] พระราชมารดาของเจ้าชายเปดรูคือ อาร์คดัชเชสมาเรีย ลีโอโพลดิน่าแห่งออสเตรีย ทรงเป็นพระราชธิดาในจักรพรรดิฟรันซ์ที่ 2 จักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์พระองค์สุดท้าย ทางพระราชมารดา เจ้าชายเปดรูทรงเป็นพระราชนัดดาในจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 แห่งฝรั่งเศส ผู้เป็นพระมาตุลาและทรงเป็นพระญาติกับจักรพรรดินโปเลียนที่ 2, จักรพรรดิฟรันซ์ โยเซฟที่ 1แห่งจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีและจักรพรรดิแม็กซีมีเลียนที่ 1แห่งจักรวรรดิเม็กซิโก[9]

เจ้าชายเปดรูทรงเป็นพระราชโอรสที่ถูกต้องตามกฎหมายเพียงพระองค์เดียวของจักรพรรดิเปดรูที่ 1 ที่ทรงดำรงพระชนม์ชีพจนเจริญพระชันษา พระองค์ทรงได้รับการสถาปนาอย่างเป็นทางการในฐานะองค์รัชทายาทแห่งราชบัลลังก์บราซิลด้วยพระอิสริยยศ เจ้าชายรัชทายาท (Prince Imperial) ในวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ. 1826[10][11] จักรพรรดินีมาเรีย ลีโอโพลดิน่าสิ้นพระชนม์ในวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 1826 เพียงไม่กี่วันหลังจากทรงมีพระประสูติกาลบุตรซึ่งสิ้นพระชนม์ในวันประสูติ ขณะที่เจ้าชายเปดรูยังทรงมีพระชนมายุเพียง 1 พรรษา[12][13] สองปีครึ่งต่อมา พระราชบิดาของพระองค์ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงอเมลีแห่งเลาช์เทนเบิร์ก เจ้าชายเปดรูทรงพัฒนาความสัมพันธ์ที่รักพระนาง ซึ่งพระองค์ทรงถือว่าพระนางเป็นพระราชมารดาของพระองค์[14] จักรพรรดิเปดรูที่ 1 ทรงตัดสินพระทัยที่จะฟื้นฟูราชบัลลังก์โปรตุเกสให้แก่พระราชธิดาคือ สมเด็จพระราชินีนาถมาเรียที่ 2 ที่ซึ่งราชบัลลังก์ของพระนางทรงถูกช่วงชิงโดยพระเจ้ามิเกล ผู้เป็นพระปิตุลาและเป็นพระอนุชาในจักรพรรดิเปดรูที่ 1 เช่นเดียวกับสถานะทางการเมืองของจักรพรรดิเปดรูที่ 1 ที่ลดลงนำไปสู่การสละราชบัลลังก์อย่างกะทันหันของพระองค์ในวันที่ 7 เมษายน ค.ศ. 1831[15][16] พระองค์และจักรพรรดินีอเมลีเสด็จไปยังยุโรปทันที ทรงทิ้งเจ้าชายรัชทายาทไว้เบื้องหลัง ผู้ซึ่งได้ขึ้นครองราชบัลลังก์เป็น จักรพรรดิเปดรูที่ 2 แห่งบราซิล[17][18]

ช่วงต้นพระราชพิธีราชาภิเษก

จักรพรรดิเปดรูที่ 2 แห่งบราซิลขณะมีพระชนมายุ 12 พรรษา ทรงฉลองพระองค์เครื่องแบบราชสำนักและประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ขนแกะทองคำ ในปีค.ศ. 1838

ก่อนที่จะเสด็จออกจากประเทศ จักรพรรดิเปดรูที่ 1 ทรงเลือกบุคคล 3 คนให้มาดูแลพระราชโอรสและพระราชธิดาที่ยังทรงอยู่ คนแรกคือ ฌูเซ โบนิเฟชิโอ เดอ อันดราดา ซึ่งเป็นพระสหายของพระองค์และเป็นผู้นำที่มีอิทธิพลในช่วงระหว่างเหตุการณ์อิสรภาพแห่งบราซิลโดยได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ปกครอง[19][20] คนที่สองคือ มาเรียนา เดอ เวอร์นา ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็น ไออา (aia;พระอภิบาล) นับตั้งแต่การประสูติของจักรพรรดิเปดรูที่ 2[21] ในขณะที่ทรงพระเยาว์ เจ้าชายรัชทายาททรงเรียกเธอว่า "ดาดามา" (Dadama) เนื่องจากพระองค์ไม่สามารถออกเสียงคำว่า "ดามา" (Dama) ซึ่งแปลว่า เลดี้ ได้ถูกต้อง[11] พระองค์ทรงยกย่องว่าเธอเป็นตัวแทนพระมารดาของพระองค์และพระองค์ยังคงเรียกชื่อเล่นของเธอแม้จะทรงเจริญพระชันษาแล้วด้วยความรัก[18][22] คนที่สามคือ ราฟาเอล ทหารผ่านศึกเชื้อสายแอฟโฟร-บราซิเลียนในสงครามคิสพลาทีน[21][23] เขาเป็นพนักงานในพระราชวังเซากริสโตเบา ซึ่งจักรพรรดิเปดรูที่ 1 ทรงไว้วางพระราชหฤทัยในตัวเขาอย่างมากและทรงโปรดให้เขาดูแลพระราชโอรส ซึ่งเป็นการดำเนินการดูแลในช่วงชีวิตที่เหลือของเขา[10][23]

โบนาเฟชิโอถูกปลดออกจากตำแหน่งในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1833 และแทนที่ด้วยผู้ปกครองคนอื่น[24] จักรพรรดิเปดรูที่ 2 ทรงใช้เวลาไปกับการศึกษาโดยมีเวลาเพียงสองชั่วโมงกำหนดไว้สำหรับเพื่อทรงพระสำราญ[25][26] ทรงมีความเฉลียวฉลาด แม้ว่าจะทรงห่างไกลจากความเป็นอัจฉริยะแต่ก็ทรงสามารถที่จะเปิดรับความรู้ได้อย่างง่ายดายมาก[27] อย่างไรก็ตามชั่วโมงสำหรับการศึกษาทรงต้องใช้ความอุตสาหะมากและเป็นการเรียกร้องเพื่อการเตรียมพระองค์ในฐานะพระมหากษัตริย์ พระองค์ทรงมีพระสหายรุ่นคราวเดียวกันจำนวนน้อยและทรงต้องติดต่อกับพระเชษฐภคินีของพระองค์อย่างจำกัด สิ่งที่มาควบคู่กับการสูญเสียพระราชยิดาและพระราชมารดาอย่างฉับพลันของจักรพรรดิเปดรูที่ 2 คือ ทรงได้รับการอบรมและอภิบาลที่ไม่มีความสุขและโดดเดี่ยว[28] สภาพแวดล้อมที่ทรงต้องเผชิญจากการที่ทรงถูกอภิบาลดูแลได้เปลี่ยนให้พระองค์ทรงมีพระบุคลิกขี้อายและขาดแคลน ทรงเห็นหนังสือเป็นที่หลบภัยและทรงหลีกหนีจากโลกความเป็นจริง[29][30]

ความเป็นไปได้ในการลดอายุการบรรลุนิติภาวะขององค์จักรพรรดิ แทนที่จะรอจนกว่าทรงมีพระชนมายุครบ 18 พรรษา ซึ่งอายุได้ถูกเลื่อนขึ้นในปีค.ศ. 1835[31] การเลื่อนฐานะการขึ้นสู่ราชบัลลังก์ได้นำไปสู่ช่วงเวลาที่มีปัญหาของวิกฤตที่ไม่สิ้นสุด คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้สร้างการปกครองในนามพระองค์ซึ่งถูกสั่นคลอนตั้งแต่เริ่มต้นโดยข้อพิพาทระหว่างฝ่ายการเมืองและเกิดการกบฏทั่วประเทศ[32] นักการเมืองซึ่งเข้ามามีอำนาจในช่วงระหว่างคริสต์ทศวรรษที่ 1830 ในขณะนี้เริ่มเคยชินกับความผิดพลาดในการปกครอง ตามความคิดเห็นของนักประวัติศาสตร์ โรเดอริค เจ. บาร์แมน ที่ว่า ในค.ศ. 1840 "พวกเขาได้สูญเสียความเชื่อมั่นในความสามารถทางการปกครองประเทศของตนเอง พวกเขายอมรับจักรพรรดิเปดรูที่ 2 ในฐานะพระประมุขผู้มีอำนาจ ผู้ซึ่งทรงแสดงภาพแทนในฐานะทรงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับความอยู่รอดของประเทศ"[33] เมื่อทรงถูกทูลถามโดยนักการเมืองว่า ถ้าพระองค์ทรงต้องการพระราชอำนาจเต็มหรือไม่ จักรพรรดิเปดรูที่ 2 ทรงยอมรับอย่างเอียงอาย[34] ในวันรุ่งขึ้น วันที่ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 1840 สมัชชาแห่งชาติ (รัฐสภาบราซิล) ได้ประกาศอย่างเป็นทางการให้จักรพรรดิเปดรูที่ 2 พระชนมายุ 14 พรรษา บรรลุนิติภาวะ[35] ต่อมาพระองค์ทรงเข้าพระราชพิธีสรรเสริญ, สวมมงกุฎและอุทิศเพื่อพระเจ้าในวันที่ 18 กรกฎาคม ค.ศ. 1841[36][37]